กลยุทธ์การหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในการดำเนินงานและห่วงโซ่คุณค่า เราได้มุ่งหาแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลาย รวมถึงความคิดใหม่ ๆ อีกทั้งได้ร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ไอวีแอลได้มีแนวทางในการวางกลยุทธ์การหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังต่อไปนี้

พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานของเรา

พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของไอวีแอล ผ่านการพัฒนาพลังงานทดแทนทั้งภายในและภายนอกองค์กร

การรีไซเคิล

ลงทุนและขยายโรงงานรีไซเคิลเพื่อจัดการปัญหามลพิษจากขยะพลาสติกและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

วัตถุดิบหมุนเวียน (Circular Feedstock - วัตถุดิบชีวภาพและรีไซเคิล)

การแทนที่วัตถุดิบตั้งต้นที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยวัตถุดิบที่มาจากชีวภาพและวัตถุดิบรีไซเคิล

แนวทางแก้ปัญหาต้นทุนทางธรรมชาติ

สำรวจกรรมสิทธิ์โครงการชดเชยคาร์บอนบางส่วนและทั้งหมด

เทคโนโลยีแห่งอนาคต

สำรวจโอกาสด้านเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ไฮโดรเจนสีเขียว วัตถุดิบหมุนเวียน/วัตถุดิบชีวภาพ และเชื้อเพลิงธรรมชาติทดแทน (RNG)

การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

เราสนับสนุนข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ประสบความสำเร็จใน COP 21 และการประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานของเราและกำลังระดมโรงงานทั่วโลกเพื่อลดการปล่อยก๊าซ GHG โดยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและการตรวจสอบการใช้พลังงาน ในการทำเช่นนี้เรากำลังช่วยเหลือประเทศที่เรามีการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ (NDC) ในระดับประเทศ

เป้าหมายปี 2568
ลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
(Scope 1 และ 2)
10%
เป้าหมายปี 2573
ลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
(Scope 1 และ 2)
30%
จากปี 2563
สถานการณ์จริงปี
2566
0.5911
tCO2e/ตันการผลิต
ความก้าวหน้าในปี 2566
ลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนประจกทั้งหมด
(Scope 1 และ 2)
3.57%
เมื่อเทียบกับเป้าหมายปี 2568

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1)

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (tCO2e)
อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tCO2e / ตันการผลิต)

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2)

Location-based
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (tCO2e)
อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tCO2e / ตันการผลิต)
Market-based
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (tCO2e)
อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tCO2e / ตันการผลิต)

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (Scope 1 และ 2)

Location-based
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (tCO2e)
อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tCO2e / ตันการผลิต)
Market-based
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (tCO2e)
อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (tCO2e / ตันการผลิต)

Emissions linked to energy consumption

2563 2564 2565 2566
Direct Greenhouse gas (GHG) emissions (kt CO2e) 6,975 7,207 7,195 7,103
Indirect Greenhouse gas (GHG) emissions (kt CO2e) 2,556 2,619 2,535 2,376
Total Greenhouse gas (GHG) emissions (kt CO2e) 9,521 9,826 9,720 9,479

หมายเหตุ:

  • อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถูกคำนวณตามการผลิตโดยรวมซึ่งรวมถึงการขายระหว่างบริษัท
  • ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของปี 2563 และ 2564 ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ให้สอดคล้องกับคำจำกัดความและกระบวนการรวบรวมข้อมูลที่พิจารณาให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
  • ข้อมูลปี 2563 ที่ใช้เป็นปีฐาน ได้ถูกปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

ไอวีแอลคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม (ขอบเขต Scope 1 และ 2) สำหรับการดำเนินงานทั้งหมดทั่วโลกตามระเบียบการบัญชีของก๊าซเรือนกระจก (GHG Accounting Protocols) และการรายงานขององค์กร โดยสถาบันทรัพยากรโลก (World Resource Institution) สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development) และ ISO 14064-1: 2006

การเปิดข้อมูลก๊าซเรือนกระจกเป็น 100%

ตั้งแต่ปี 2556 เปอร์เซ็นต์การรายงานแลการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทุกไซต์ของเราทั่วโลกของเราเป็น 100% ซึ่งรวมถึงการทำบัญชีเปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Accounting Protocols) ภายใต้ขอบเขต 1 และ 2 (Scope 1 และ 2) จากแหล่งกำเนิดมลพิษทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้เรายังได้กำหนดเกณฑ์ในการคำนวณขอบเขตการปล่อยมลพิษที่ปล่อยออกมาจากห่วงโซ่อุปทานของเราทั่วโลก (Scope 3) เราได้วางแผนที่จะมีกระบวนการตรวจสอบประจำปีในสถานที่ดำเนินงานของเราโดยให้บุคคลที่สามเป็นผู้ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดนั้นมีความโปร่งใสสอดคล้องและถูกต้องตามมาตรฐาน ISO 14064-1 และ 14064-3

กลยุทธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เราตระหนักดีว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเรา เราได้ค้นหาวิธีการรับพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ลมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของเรา เราได้ทำการศึกษาประโยชน์ของการเข้าร่วมสมาคมระดับชาติของผู้ซื้อไฟฟ้าทดแทนเพื่อให้ได้รับอำนาจการเจรจาต่อรองที่มากขึ้น รวมไปถึงราคาค่าไฟฟ้าที่ยุติธรรมมากขึ้น เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการจัดหาพลังงานทดแทนผ่าน PPA และสอดคล้องกับโปรโตคอลปารีส (Paris Protocol) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเรา

GHG verification and assurance

Our audited GHG Scope 1, Scope 2 and Scope 3 Emissions

Emissions Source Amount (tCO2e)
A - Greenhouse Gas Inventory
Scope 1 7,102,530
Scope 2 (Location based) 2,478,410
Scope 1 and 2 (Location based) 9,580,940
Scope 2 (Market based) 2,375,660
Scope 1 and 2 (Market based) 9,478,190
Biogenic emissions 76,521
Scope 3 Purchased Goods and Services (including Nitrogen) 22,881,050
Scope 3 Upstream Transportation 665,855
Scope 3 Waste 214,770
Scope 3 Business Travel 24,488
Scope 3 Employee Commuting 42,965
Scope 3 Downstream Transportation 1,670,940
Scope 3 Emissions from electricity (T&D, WTT) 843,938
Scope 3 Emissions from Fuels (WTT) 841,191
Scope 3 Capital goods emissions 533,387
Scope 3 Use of sold products 1,807,773
Scope 1, Scope 2 (Location based) and Scope 3 39,107,299
Scope 1, Scope 2 (Market based) and Scope 3 39,004,549
กรณีศึกษา
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากระบบเครื่องทำความร้อนน้ำมันร้อนด้วยถ่านหิน

ในปี 2566 บริษัท Indorama Ventures Dhunseri Petrochem Industries Private Limited ในประเทศอินเดีย ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนระบบเครื่องทำความร้อนน้ำมันร้อนจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้ประมาณ 35,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเลิกใช้ถ่านหิน 100% ภายในปี 2030เมื่อรวมกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 264,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ระหว่างปี 2563 ถึง 2566 คิดเป็น 3.8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 Baseline ของเรา ซึ่งสำเร็จได้จากการลดการใช้ถ่านหิน แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการเลิกใช้ถ่านหินในกระบวนการปฏิบัติการของเรานอกจากนี้ การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงชีวมวลยังช่วยทำให้พื้นที่เครื่องทำความร้อนปลอดฝุ่น ทำให้งานบำรุงรักษาง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดความจำเป็นในการใช้งานแรงงานชั่วคราว และสามารถนำไปใช้ในงานอื่น ๆ ได้การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังมีส่วนช่วยให้สิ่งแวดล้อมสะอาดขึ้นอีกด้วย

โครงการนำร่องการกู้คืนความร้อนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่อินโดรามา เวนเจอร์สในประเทศจีน

โรงงาน Performance Fibers (Kaiping) ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานของอินโดรามา เวนเจอร์สในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้ดำเนินโครงการนำร่องการกู้คืนความร้อนในสายการผลิตเคลือบผ้าหนึ่งสาย โดยสามารถลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงได้ถึง 25% ในช่วงสองเดือนติดต่อกันของการทดลองปฏิบัติการจากความสำเร็จนี้ โรงงานมีแผนที่จะขยายการติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนความร้อนให้ครอบคลุมทั้งสี่สายการผลิตเคลือบผ้า ซึ่งถือเป็นโซลูชันนวัตกรรมแรกในอุตสาหกรรมการผลิตยางรถยนต์การขยายโครงการนี้คาดว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนได้ถึง 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้ 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปีไม่เพียงแต่จะเป็นความสำเร็จทางการเงินและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในหมู่พนักงานของอินโดรามา เวนเจอร์ส และอาจขยายไปยังสายการผลิตอื่น ๆ ในกลุ่มธุรกิจสิ่งทอสำหรับการเคลื่อนที่ (Fibers Mobility Vertical) ได้ในอนาคต

โครงการ Gas Turbine Apollo - โรงงานผลิตพลังงานร่วมแห่งใหม่ที่ PTIVI ประเทศอินโดนีเซีย

บริษัท PT. Indorama Ventures (PTIVI) ประเทศอินโดนีเซีย ได้ติดตั้งกังหันก๊าซขนาด 7.5 เมกะวัตต์จำนวน 2 เครื่อง พร้อมด้วยเครื่องทำความเย็นแบบดูดซับเพิ่มอีก 2 เครื่อง โดยมีความสามารถในการทำความเย็น 2,937 ตัน ซึ่งใช้พลังงานจากทั้งความร้อนเหลือทิ้งและการกู้คืนพลังงานจากน้ำร้อนหน่วยนี้ถูกติดตั้งร่วมกับหม้อไอน้ำ HTM ใหม่ 2 เครื่อง ซึ่งใช้ความร้อนเหลือทิ้งจากกังหันก๊าซ โครงการที่เป็นเอกลักษณ์นี้ใช้การกู้คืนความร้อนใน 3 ระดับขั้นตอน และถือเป็นครั้งแรกของอินโดรามา เวนเจอร์สที่กระบวนการผลิตพลังงานร่วมในโรงงานจะใช้ความร้อนเหลือทิ้งจากก๊าซไอเสียของกังหันโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนรวม 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้ประมาณ 30,000 ตันต่อปี พร้อมทั้งคาดว่าการลดการปล่อย CO2 จะอยู่ที่ประมาณ 25% สำหรับพื้นที่ทั้งโรงงาน

เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Capture Technology)

เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต Ethylene Oxide (EO) ก๊าซบางส่วนที่เกิดขึ้นถูกนำไปขายและใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอื่น ๆ ในปี 2565 ระหว่างเดือนเมษายนถึงธันวาคม โรงงานใน Camaçari ได้ขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 29,580 ตัน และในช่วงเวลาเดียวกัน โรงงาน Maua ได้ขายก๊าซจำนวน 4,393 ตันหน่วยผลิตใน Botany ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IOD มีประวัติการขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากกระบวนการผลิต Ethylene Oxide (EO) มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2022 มีการขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 4,229 ตัน คิดเป็นประมาณ 43% ของปริมาณที่ผลิตได้ในส่วนของ Port Neches ซึ่งเป็นหน่วยผลิต EO ที่ใหญ่ที่สุด กำลังพัฒนาโครงการเพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตขึ้น โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือถึงการใช้งานก๊าซดังกล่าว โดยมีการพูดคุยกับบริษัทในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและบริษัทที่สามารถแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นเคมีภัณฑ์ชนิดใหม่ได้